วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

                                ศิลปะการแสดงของหมอลำ

                              
                              หมอลำ เป็นรูปแบบของเพลงลาวโบราณในประเทศลาวและภาคอีสานของประเทศไทย สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายอย่าง ตามลักษณะทำนองของการลำ เช่น ลำเต้ย ลำกลอน ลำเรื่อง ลำเรื่องต่อกลอน ลำเพลิน ลำซิ่ง รวมทั้ง ลำตัดในภาคกลางก็จัดได้ว่าเป็นหมอลำประเภทหนึ่ง
คำว่า "หมอลำ" มาจากคำ 2 คำมารวมกัน ได้แก่ "หมอ" หมายถึง ผู้มีความชำนาญ และ "ลำ" หมายถึง การบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยทำนองอันไพเราะ ดังนั้น หมอลำ จึงหมายถึง ผู้ที่มีความชำนาญในการบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยทำนองเพลง

ประวัติหมอลำ

             การลำ นับเป็นการแสดงพื้นเมืองของภาคอีสาน ที่มีการวิวัฒนาการ อย่างต่อเนื่องและได้รับความนิยมมากทุกยุคทุกสมัย เริ่มจากการลำพื้นเมือง ซึ่งได้แก่การนำเนื้อหาของนิทานพื้นบ้าน เช่นการะเกด สินไช นางแตงอ่อน ลำโดยใช้หมอลำ คน และหมอแคน คน ผู้ลำสมมติคนเป็นตัวละครทุกตัว ในเรื่องและลำตลอดคืน การลำพื้นเป็นต้นกำเนิดของการลำทุกประเภท
             ต่อมาลำพื้น ได้วิวัฒนาการมาเป็นการลำคู่ ซึ่งได้แก่ การลำ คน ชายกับชาย หรือ ชายกับหญิง จนประมาณปี พ.ศ.2494 การลำระหว่างชายกับชายจึงเลิกไป เหลือระหว่างการลำชายกับหญิงมาจนถึงปัจจุบัน หมอลำคู่ที่มีชื่อเสียงรุ่นแรกๆ ได้แก่ หมอลำคูณ (ชาย) และหมอลำจอมศรี (หญิง) ชาวอุบลราชธานีนอกจากนี้ยังมีหมอลำทองมาก จันทะลือ (หมอลำถูทาชาย) หมอเคน ดาหลา (ชาย) เป็นต้น
             การลำได้วิวัฒนาการต่อมาอีก จากการลำ 2 - 3 คน กลายมาเป็นการลำหลายๆคน เรียกว่า "หมอลำหมู่" ซึ่งมีประมาณ 10 กว่าคน เป็นการลำตามเรื่องราวอาจใช้นิทานพื้นบ้านหรือชาดกเป็นเนื้อเรื่อง ลีลาการลำมีหลายแบบ อาทิ ลำเรื่องต่อกลอน ลำเพลิน เป็นต้น คณะหมอลำหมู่ชื่อเสียง ได้แก่รังสิมันต์ ซึ่งเป็นคณะหมอลำของชาวจังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อเสียงมากระหว่างปี พ.ศ. 2506 - 2510
 
หมอลำ  ศิลปะพื้นบ้านอีสานที่ไม่มีวันตาย
                คำว่า  "ลำ"  มีความหมายสองอย่าง  อย่างหนึ่งเป็นชื่อของเรื่อง อีกอย่างหนึ่งเป็นชื่อของ การขับร้องหรือการลำ ที่เป็นชื่อของเรื่องได้แก่เรื่องต่าง ๆ  เช่น  เรื่องนกจอกน้อย  เรื่อง ท้าวก่ำกาดำ เรื่องขูลูนางอั้ว เป็นต้น เรื่องเหล่านี้โบราณแต่งไว้เป็นกลอน แทนที่จะเรียกว่า เรื่องก็เรียกว่า ลำ   กลอนที่เอามาจากหนังสือลำเรียกว่า  กลอนลำ

         อีกอย่างหนึ่งหมายถึงการขับร้อง หรือการลำ การนำเอาเรื่องในวรรณคดีอีสานมา     ขับร้อง หรือมาลำ เรียกว่า ลำ ผู้ที่มีความชำนาญในการขับร้องวรรณคดีอีสาน โดยการท่องจำเอากลอน มาขับร้อง หรือผู้ที่ชำนาญในการเล่านิทานเรื่องนั้น เรื่องนี้ หลายๆ เรื่องเรียกว่า "หมอลำ"
ลำโบราณ
             เป็นการเล่านิทานของผู้เฒ่าผู้แก่ให้ลูกหลานฟัง ไม่มีท่าทาง และดนตรี ประกอบ
ลำคู่หรือลำกลอน
             เป็นการลำที่มีหมอลำชายหญิงสองคนลำสลับกัน มีเครื่องดนตรีประกอบ คือ แคน การลำมีทั้งลำเรื่องนิทานโบราณคดีอีสาน เรียกว่า ลำเรื่องต่อกลอน ลำทวย (ทายโจทย์) ปัญหา ซึ่งผู้ลำจะต้องมี ปฏิภาณไหวพริบที่ดี สามารถตอบโต้ ยกเหตุผลมาหักล้างฝ่ายตรงข้ามได้ ต่อมามีการเพิ่มผู้ลำ ขึ้นอีกหนึ่งคน อาจเป็นชายหรือหญิง ก็ได้ การลำจะเปลี่ยนเป็นเรื่อง ชิงรัก หักสวาท ยาดชู้ยาดผัว เรียกว่า ลำชิงชู้
ลำหมู่
            เป็นการลำที่มีผู้แสดงเพิ่มมากขึ้น จนเกือบจะครบตามจำนวนตัวละครที่มีในเรื่อง มีเครื่องดนตรีประกอบเพิ่มขึ้น เช่น พิณ (ซุง หรือ ซึง) กลอง การลำจะมี แนวทาง คือ ลำเวียง จะเป็นการลำแบบลำกลอน หมอลำแสดง เป็นตัวละครตามบทบาทในเรื่อง การดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า แต่ก็ได้อรรถรสของละครพื้นบ้าน หมอลำได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองในการลำ ทั้งทางด้านเสียงร้อง ปฏิภาณไหวพริบ และความจำเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ
             ต่อมาเมื่อดนตรีลูกทุ่งมีอิทธิพลมากขึ้นจึงเกิดวิวัฒนาการของลำหมู่อีกครั้งหนึ่ง กลายเป็น ลำเพลิน ซึ่งจะมีจังหวะที่เร้าใจชวนให้สนุกสนาน ก่อนการลำเรื่องในช่วงหัวค่ำจะมีการนำเอารูปแบบของ วงดนตรีลูกทุ่งมาใช้เรียกคนดู กล่าวคือ จะมีนักร้อง (หมอลำ) มาร้อง เพลงลูกทุ่งที่กำลังฮิตในขณะนั้น มีหางเครื่องเต้นประกอบ นำเอาเครื่องดนตรีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น กีตาร์ คีย์บอร์ด แซ็กโซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด โดยนำมาผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรีเดิมได้แก่ พิณ แคน ทำให้ได้รสชาติของดนตรีที่แปลกออกไป ยุคนี้นับว่า หมอลำเฟื่องฟูมากที่สุด คณะหมอลำดังๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวัด ขอนแก่น มหาสารคาม อุบลราชธานี
ลำซิ่ง
                 หลังจากที่หมอลำคู่และหมอลำเพลิน ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงไป อันเนื่องมาจากการก้าวเข้ามาของเทคโนโลยีวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ดนตรีสตริงเข้ามาแทรกในวิถีชีวิตของผู้คนอีสาน ความนิยมของการชมหมอลำ ค่อนข้างจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดความวิตกกังวลกันมากในกลุ่มนักอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน แต่แล้วมนต์ขลังของหมอลำก็ได้กลับมาอีกครั้ง ด้วยรูปแบบที่สะเทือนวงการด้วยการแสดงที่เรียกว่า ลำซิ่ง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของลำคู่ (เพราะใช้หมอลำ 2-3 คน) ใช้เครื่องดนตรีสากลเข้าร่วมให้จังหวะเหมือนลำเพลิน มีหางเครื่องเหมือนดนตรีลูกทุ่ง กลอนลำสนุกสนานมีจังหวะอันเร้าใจ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งระบาดไปสู่การแสดงพื้นบ้านอื่นให้ต้องประยุกต์ปรับตัว เช่น เพลงโคราชกลายมาเป็นเพลงโคราชซิ่ง กันตรึมก็กลายเป็นกันตรึมร็อค หนังปราโมทัย (หนังตะลุงอีสาน) กลายเป็นปราโมทัยซิ่ง ถึงกับมีการจัดประกวดแข่งขัน บันทึกเทปโทรทัศน์จำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย จนถึงกับ มีบางท่านถึงกับกล่าวว่า         "หมอลำไม่มีวันตาย จากลมหายใจชาวอีสาน"

วิวัฒนาการของหมอลำ 

ความเจริญก้าวหน้าของหมอลำก็คงเหมือนกับความเจริญก้าวหน้าของสิ่งอื่นๆ เริ่มแรก คงเกิดจากผู้เฒ่าผู้แก่เล่านิทาน นิทานที่นำมาเล่าเกี่ยวกับจารีตประเพณีและศีลธรรม โดยเรียก ลูกหลานให้มาชุมนุมกัน ทีแรกนั่งเล่า เมื่อลูกหลานมาฟังกันมากจะนั่งเล่าไม่เหมาะ ต้องยืนขึ้นเล่า เรื่องที่นำมาเล่าต้องเป็นเรื่องที่มีในวรรณคดี เช่น เรื่องกาฬเกษ สินชัย เป็นต้น ผู้เล่าเพียงแต่เล่า ไม่ออกท่าออกทางก็ไม่สนุก ผู้เล่าจึงจำเป็นต้องยกไม้ยกมือแสดงท่าทางเป็น พระเอก นางเอก เป็นนักรบเป็นต้น
เพียงแต่เล่าอย่างเดียวไม่สนุก จึงจำเป็นต้องใช้สำเนียงสั้นยาว ใช้เสียงสูงต่ำ ประกอบ และหาเครื่องดนตรีประกอบ เช่น ซุง ซอ ปี่ แคน เพื่อให้เกิดความสนุกครึกครื้น ผู้แสดง มีเพียงแต่ผู้ชายอย่างเดียวดูไม่มีรสชาติเผ็ดมัน จึงจำเป็นต้องหา ผู้หญิงมาแสดงประกอบ เมื่อ ผู้หญิงมาแสดงประกอบจึงเป็นการลำแบบสมบูรณ์ เมื่อผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องต่างๆ ก็ตามมา เช่น เรื่องเกี้ยวพาราสี เรื่องชิงดีชิงเด่น ยาด (แย่ง) ชู้ยาดผัวกัน เรื่องโจทย์ เรื่องแก้ เรื่องประชัน ขันท้า เรื่องตลกโปกฮาก็ตามมาจึงเป็นการลำสมบูรณ์แบบจากการมีหมอลำชายเพียงคนเดียวค่อยๆ พัฒนาต่อมาจนมีหมอลำฝ่ายหญิง มีเครื่อง ดนตรีประกอบจังหวะเพื่อความสนุกสนาน จนกระทั่งเพิ่มผู้แสดงให้มีจำนวนเท่ากับตัวละครที่มีในเรื่อง มีพระเอก นางเอก ตัวโกง ตัวตลก เสนา ครบถ้วน ซึ่งพอจะแบ่งยุคของวิวัฒนาการได้ดังนี้
ลำโบราณ เป็นการเล่านิทานของผู้เฒ่าผู้แก่ให้ลูกหลานฟัง ไม่มีท่าทาง และดนตรี ประกอบ
ลำคู่หรือลำกลอน เป็นการลำที่มีหมอลำชายหญิงสองคนลำสลับกัน มีเครื่องดนตรีประกอบ คือ แคน การลำมีทั้งลำเรื่องนิทานโบราณคดีอีสาน เรียกว่า ลำเรื่องต่อกลอน ลำทวย (ทายโจทย์) ปัญหา ซึ่งผู้ลำจะต้องมี ปฏิภาณไหวพริบที่ดี สามารถตอบโต้ ยกเหตุผลมาหักล้างฝ่ายตรงข้ามได้ ต่อมามีการเพิ่มผู้ลำ ขึ้นอีกหนึ่งคน อาจเป็นชายหรือหญิง ก็ได้ การลำจะเปลี่ยนเป็นเรื่อง ชิงรัก หักสวาท ยาดชู้ยาดผัว เรียกว่า ลำชิงชู้
ลำหมู่ เป็นการลำที่มีผู้แสดงเพิ่มมากขึ้น จนเกือบจะครบตามจำนวนตัวละครที่มีในเรื่อง มีเครื่องดนตรีประกอบเพิ่มขึ้น เช่น พิณ (ซุง หรือ ซึง) กลอง การลำจะมี แนวทาง คือ ลำเวียง จะเป็นการลำแบบลำกลอน หมอลำแสดง เป็นตัวละครตามบทบาทในเรื่อง การดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า แต่ก็ได้อรรถรสของละครพื้นบ้าน หมอลำได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองในการลำ ทั้งทางด้านเสียงร้อง ปฏิภาณไหวพริบ และความจำเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ ต่อมาเมื่อดนตรีลูกทุ่งมีอิทธิพลมากขึ้นจึงเกิดวิวัฒนาการของลำหมู่อีกครั้งหนึ่ง กลายเป็น ลำเพลิน ซึ่งจะมีจังหวะที่เร้าใจชวนให้สนุกสนาน ก่อนการลำเรื่องในช่วงหัวค่ำจะมีการนำเอารูปแบบของ วงดนตรีลูกทุ่งมาใช้เรียกคนดู กล่าวคือ จะมีนักร้อง (หมอลำ) มาร้อง เพลงลูกทุ่งที่กำลังฮิตในขณะนั้น มีหางเครื่องเต้นประกอบ นำเอาเครื่องดนตรีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น กีตาร์ คีย์บอร์ด แซ็กโซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด โดยนำมาผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรีเดิมได้แก่ พิณ แคน ทำให้ได้รสชาติของดนตรีที่แปลกออกไป ยุคนี้นับว่า หมอลำเฟื่องฟูมากที่สุด คณะหมอลำดังๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวัด ขอนแก่น มหาสารคาม อุบลราชธานี
ลำซิ่ง หลังจากที่หมอลำคู่และหมอลำเพลิน ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงไป อันเนื่องมาจากการก้าวเข้ามาของเทคโนโลยีวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ดนตรีสตริงเข้ามาแทรกในวิถีชีวิตของผู้คนอีสาน ความนิยมของการชมหมอลำ ค่อนข้างจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดความวิตกกังวลกันมากในกลุ่มนักอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน แต่แล้วมนต์ขลังของหมอลำก็ได้กลับมาอีกครั้ง ด้วยรูปแบบที่สะเทือนวงการด้วยการแสดงที่เรียกว่า ลำซิ่ง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของลำคู่ (เพราะใช้หมอลำ 2-3 คน) ใช้เครื่องดนตรีสากลเข้าร่วมให้จังหวะเหมือนลำเพลิน มีหางเครื่องเหมือนดนตรีลูกทุ่ง กลอนลำสนุกสนานมีจังหวะอันเร้าใจ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งระบาดไปสู่การแสดงพื้นบ้านอื่นให้ต้องประยุกต์ปรับตัว เช่น เพลงโคราชกลายมาเป็นเพลงโคราชซิ่ง กันตรึมก็กลายเป็นกันตรึมร็อค หนังปราโมทัย (หนังตะลุงอีสาน) กลายเป็นปราโมทัยซิ่ง ถึงกับมีการจัดประกวดแข่งขัน บันทึกเทปโทรทัศน์จำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย จนถึงกับ มีบางท่านถึงกับกล่าวว่า "หมอลำไม่มีวันตาย จากลมหายใจชาวอีสาน"

กลอนลำแบบต่างๆ 

กลอนที่นำมาเสนอ ณ ที่นี้มีหลายกลอนที่มีคำหยาบโลนจำนวนมาก บางท่านอาจจะทำใจยอมรับไม่ได้ก็ต้องกราบขออภัย เพราะผู้จัดทำมีเจตนาที่จะเผยแพร่ไว้เพื่อเป็นการสืบสาน วัฒนธรรมประเพณี มิได้มีเจตนาที่จะเสนอให้เป็นเรื่องลามกอนาจาร ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า นี่คือวิถีชีวิตของคนอีสาน กลอนลำทั้งหลายทั้งปวงผู้ลำมีเจตนาจะทำให้เกิดความสนุกสนาน ตลกโปกฮาเป็นที่ตั้ง ท่านที่อยู่ในท้องถิ่นอื่นๆ ขอได้เข้าใจในเจตนาด้วยครับ สนใจในกลอนลำหัวข้อใดคลิกที่หัวข้อนั้นเพื่อเข้าชมได้ครับ
กลอนที่นำมาร้องมาลำมีมากมายหลายอย่าง จนไม่สามารถจะกล่าวนับหรือแยกแยะได้หมด แต่เมื่อย่อรวมลงแล้วจะมีอยู่สองประเภท คือ กลอนสั้นและกลอนยาว
กลอนสั้น คือ คำกลอนที่สั้นๆ ใช้สำหรับลำเวลามีงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น งานทำบุญบ้าน หรืองานประจำปี เช่น งานบุญเดือนหก เป็นต้น กลอนสั้น มีดังต่อไปนี้
1. กลอนขึ้นลำ 2. กลอนลงลำ 3. กลอนลำเหมิดคืน
4. กลอนโต้น 5. กลอนติ่ง 6. กลอนต่ง
7. กลอนอัศจรรย์ 8. กลอนสอย 9. กลอนหนังสือเจียง
10. กลอนเต้ยหรือผญา 11. ลำสีพันดอน 12. ลำสั้น เรื่อง ติดเสน่ห์

กลอนยาว คือ กลอนสำหรับใช้ลำในงานการกุศล งานมหรสพต่างๆ กลอนยาวนี้ใช้เวลาลำ เป็นชั่วโมงบ้าง ครึ่งชั่วโมงบ้าง หรือแล้วแต่กรณี ถ้าลำคนเดียวเช่น ลำพื้น หรือ ลำเรื่อง ต้องใช้เวลาลำเป็นวันๆ คืนๆ ทั้งนี้แล้วแต่เรื่องที่จะลำสั้นหรือยาวแค่ไหน แบ่งออกเป็นหลายชนิดดังนี้
1. กลอนประวัติศาสตร์ 2. กลอนลำพื้นหรือลำเรื่อง 3. กลอนเซิ้ง
4. กลอนส้อง 5. กลอนเพอะ 6. กลอนล่องของ
7. กลอนเว้าสาว 8. กลอนฟ้อนแบบต่างๆ
การละเล่นพื้นบ้าน หมอลำซิ่ง
ประวัติความเป็นมาของ หมอลำซิ่ง

ลำซิ่ง เป็นการลำที่พัฒนาไปจากหมอลำกลอน ดังนั้นจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลำกลอนซิ่ง เป็นการลำกลอนในแนวใหม่ซึ่งมีรูปแบบ การแสดงที่ประกอบด้วย การลำ การร้อง การฟ้อน และการเต้น

คำว่า "ซิ่ง" น่าจะมาจากภาษาอังกฤษว่า "เรสซิ่ง" (racing) ซึ่งแปลว่าการแข่งขัน ลำซิ่งจึงเป็นการลำที่ใช้ลีลา จังหวะ ในการลำ การเต้น ที่รวดเร็ว ใช้ทำนองลำเดิน (ลำย่าว) ซึ่งเป็นทำนองทางสั้นวาดขอนแก่น เป็นทำนองหลัก แต่ใช้สำเนียงแบบลำทางยาวลำซิ่ง เป็นท่วงทำนองในการลำที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเดิมทีเดียวเกิดขึ้นในลำเพลินก่อน เนื่องจากมีการนำดนตรีสากล พวกกลองชุดเข้ามาบรรเลงประกอบการแสดง พร้อมทั้งใช้ทำนองลำเพลิน ลำเดิน ลำเต้ย และเพลงลูกทุ่งประกอบ

หมอลำซิ่ง

ผู้แสดงประกอบด้วยหมอลำฝ่ายหญิงและฝ่ายชายอย่างละ ๑ คน เหมือนหมอลำ กลอนแต่ลำซิ่งจะมีหางเครื่องเต้นประกอบซึ่งมีทั้งชายและหญิง คณะละ ๒ คน
การแต่งกาย ลำฝ่ายชายจะแต่างกายชุดสากล ส่วนหมอลำฝ่ายหญิงจะสวม กระโปรงบานเพื่อให้สะดวกในการเต้น
กลอนที่ใช้ลำเหมือนกลอนลำของลำกลอน ให้ทั้งสาระทางคดีโลกและคดีธรรม
ดนตรีที่ใช้ประกอบ นอกจากแคนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีหลักแล้ว ยังมีดนตรีสากล เช่น กลองชุด กลองทอม เบส กีต้า เข้ามาร่วมบรรเลงประกอบการแสดงด้วย
ปัจจุบันลำซิ่งกำลังได้รับการนิยมสูงสุดของคนทุกเพศทุกวัย เพราะมีท่วงทำนองคึกคักสนุกสนานและให้สาระอันเป็นประโยชน์ ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย
ลำเรื่องต่อกลอน
ตามประวัติว่าเดิมที่เป็นลำพื้นก่อน ลำพื้นคือการนั่งลำคนเดียว แสดงเป็นตัวพระตัวนางไปในตัวคนเดียว
ลำพื้น หมายถึงการลำประวัติเรื่องราวส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องราวในพุทธศาสนา หรือชาดกต่างๆ ลำพื้นเป็นแม่แบบหรือทำนองลำวาทขอนแก่นในปัจจุบัน (ใครเคยฟังลำเมืองเลย ทำนองจะคล้ายกันมากตอนขึ้น) ต่อมาวิวัฒนาการเป็นลำกลอน หรือลำคู่ แต่ตอนแรกผู้ชายเป็นคนลำ ต่อมาเป็นลำหญิง/ชาย เป็นการแสดงที่แสดงถึงไหวพริบปฏิภาณ ตอบโต้กันสดๆ สมัยก่อนนิยมว่าจ้างหมอลำคู่ดังมาประชันกันสดๆ อย่างฝ่ายหญิงจากที่หนึ่ง ชายจากที่หนึ่ง จะสนุกและตื่นเต้นมาก เเถมได้ความรุ้ด้วย ส่วนใหญ่จะพูดเรื่องทาน การกุศล ปริศนาธรรมต่างๆ คนจะลำกลอนตลอดคืนยันรุ่งได้ต้องเก่งมากๆ เรียกว่า "ลำแตก" ที่มีชื่อเสียงอาทิเช่น หมอลำทองมาก จันทะเลือ ศิลปินแห่งชาติ (หมอลำ) คนแรก หมอลำเคน ดาเหลา ฉายาเคนฮุด เพราะลุยไปได้ดะ ชนิดหาตัวจับได้ ใครลำดีจะมีชื่อเสียงเป็นที่เลืองลือมาก กลอนลำก็ต้องท่องกันเป็นพันๆกลอน มากกว่าเพลงสมัยนี้ประมาณเท่าหรือสองเท่าตัวเลยทีเดียว

ต่อมาตามยุคสมัย ลำกลอนก็พัฒนาต่อยอดไปหลายแขนง อย่างลำเรื่องต่อกลอน หรือลำหมู่ เพราะใช้คนเยอะขึ้น และลำเป็นเรื่องเป็นราว ในอดีตก็เช่นเรื่องศรีธนมโนราห์ (สุธนมโนราห์) นางนกกระยางขาว พระเวสสันดร เป็นต้น ลำเรื่องต่อกลอนเป็นยุคที่เริ่มประยุกต์พัฒนาเครื่องดนตรีทันสมัยสากลมากขึ้น เพลงลูกทุ่งเริ่มมีอิทธิพลต่อคณะหมอลำในยุคนี้ จากเดิมที่มีแต่แคนอย่างเดียว วงหมอลำที่โด่งดังในอดีตเป็นที่เลืองลือคือคณะรังสิมันต์ ของปรมาจารย์ อ.ทองคำ เพ็งดี ที่มีนางเอกขึ้นชื่อระดับราชีนีหมอลำอย่าง ปรมาจารย์ ฉวีวรรณ ดำเนิน และนางเอกหมอลำสุดสวยเสียงดีเป็นที่เลืองลือในยุคนั้นคือ บานเย็น รากแก่น ก็แจ้งเกิดกับวงนี้นี่เอง (เป็นสาวน้อยลำกลอนมาก่อน) จากนั้นในคณะอื่นยุคต่อๆมารุ่นศิษย์ของ อ.ทองคำ ก็ดังดังสืบๆกันมา เช่น อ. ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม อังคนางค์ คุณไชย และมีนางเอกดังอีกคนคือ สไบแพร บัวสด ล้วนชนะเลิศได้รางวัลการประกวดมาแล้วทั้งสิ้น นี่เรียกว่าวาทลำหรือทำนองอุบล เป็นที่นิยมมากในยุคนั้น เพราะจะเน้นการเล่นลูกคอมาก และยากต่อการฝึกให้ได้ดี จึงไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควรในปัจจุบัน ดำเรื่องจะเนิบช้าด้วย ปัจจุบันมักจะลำในเทศกาล หรือโอกาสพิเศษเท่านั้น เช่นลำเฉลิมพระเกียรติ รณรงค์หาเสียง หรือโอกาสอื่นๆ แต่ลำเป็นวงก็ยังมีอยู่ในแถบอุบลและใกล้เคียง ลำทำนองอุบลนี้ ป.ฉลาดน้อย ได้พัฒนาวาทลำเป็นแบบฉบับของตัวเอง จนเป็นที่รุ้จักว่าเป็นลำทำนองอุบลอย่างปัจจุบัน มักจะพรรณาถึงฟ้า อากาศ ต้นไม้ ธรรมชาติ (แต่ถ้าใครสนใจมีโอกาสลองหาฟังลำเรื่องศรีธนมโนราห์สมัย อ.ทองคำ ฉวีวรรณ บานเย็น จะเป็นแบบยุคแรก ที่เป็นวาทลำเดิมเมืองอุบล ปัจจุบันหาไม่แล้ว) 

ลำเรื่องต่อกลอนมีหลายวาทลำ (บางทีใช้ว่า สังวาส = หมายถึงพื้นถิ่นนั้นๆ) คือลำทำนองอุบล ทำนองขอนแก่น ทำนองกาฬสินธุ์ ทำนองสารคาม ตามพื้นถิ่นใกล้เคียงนั้นๆ ในปัจจุบันหมอลำคณะส่วนใหญ่ที่เป็นที่รู้จักล้วนเป็นทำนองขอนแก่น (เสียงอีสาน ศิริพร จินหรา ประถมบังเทิงศิลป์ ระเบียบวาทะศิลป์ ฯลฯ) เพราะเป็นที่นิยมในสมัยนี้ ส่วนทำนองอื่นๆ เช่นกาฬสินธุ์ สารคาม ก็ยังมีอยู่เช่นกัน ลำขอนแก่นเป็นทำนองลำที่ไพเราะทั้งการใช้เสียง และกลอนที่ประพันธ์ โดยเฉพาะกลอนโศก วาทลำทำนองนี้จะขึ้นชื่อมากว่า
โศกได้ใจสุดๆ เสียงจะขึ้นนาสิกได้ไพเราะและน่าประทับใจมาก จนต้องร้องไห้ตาม ไปตามๆกัน จากนั้นก็มีการประยุกต์เป็นลำคล้ายเพลงลูกทุ่งปัจจุบันที่ออกเทปกันเป็นเพลงๆ อย่างกุหลาบแดง สายตาพิฆาต โบว์รักสีดำ เป็นต้น

นอกจากลำเรื่องต่อกลอนแล้ว ยังมีแยกไปอีกเป็น ลำเพลิน (คล้ายลำเรื่อง มีทำนองลำเป็นของตัวเอง) นิยมกันมากในยุคก่อน เพราะสนุกสนานขึ้นกว่าเดิม ลำเพลินนิยมใช้ชุดสั้นๆจึงถูกเรียกว่า ลำเพลินกกขาขาว” เรื่องที่นิยมเช่นแก้วหน้าม้า บางทีก็เรียกว่า ลำเพลินแก้วหน้าม้า” ราชาและราชินีลำเพลินที่เป็นรู้จักและโด่งดังในอดีตคือ ทองมี มาลัย และพิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย (ต่อมาอ.ดอย อินทะนนท์ ได้คิดค้นลำอีกแขวงหนึ่งมาล้อกันคือ ลำแพน ส่งให้ ทองมัย มาลี มาเป็นเจ้าพ่อลำแพน ซึ่งโด่งดังไม่แพ้กันในยุคนั้น)

ล่าสุด (ซึ่งก็หลายปีแล้วแหล่ะ อย่างน้อย ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๘ (?) ก็พัฒนาเป็นลำซิ่ง ชื่อเต็มๆคือลำกลอนซิ่ง คือให้มันซิ่งขึ้น มันส์ขึ้นอย่างปัจจุบัน ว่ากันว่าแม่ราตรี ศรีวิไล ครูหมอลำพื้นบ้านชื่อดัง จ.ขอนแก่น เป็นผู้ริเริ่ม

หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน

เป็นการลำที่มีผู้แสดงครบ หรือเกือบจะครบตามจำนวนตัวละครในเรื่องที่ดำเนินการแสดง มีอุปกรณ์ประกอบทั้งฉาก เสื้อผ้าสมจริงสมจังและยังมี.เครื่องดนตรีประกอบแต่เดิมทีมีหลัก ๆคือ พิณ (ซุง หรือ ซึง) แคน กลอง การลำจะมี แนวทาง คือ ลำเวียง จะเป็นการลำแบบลำกลอนหมอลำแสดงเป็นตัวละครตามบทบาทในเรื่อง การดำเนินเรื่อง ค่อนข้างช้า แต่ก็ได้ อรรถรสของละครพื้นบ้าน หมอลำได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองในการลำ ทั้งทางด้านเสียงร้อง ปฏิภาณไหวพริบ และความจำ เป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ
ต่อมาเมื่อดนตรีลูกทุ่งมีอิทธิพลมากขึ้นจึงเกิดวิวัฒนาการของ ลำหมู่อีกครั้งหนึ่ง โดยได้ประยุกต์ กลายเป็น ลำเพลิน ซึ่งจะมีจังหวะที่เร้าใจชวนให้สนุกสนาน ก่อนการลำเรื่องในช่วงหัวค่ำจะมีการนำเอารูปแบบของ วงดนตรีลูกทุ่งมาใช้เรียกคนดู กล่าวคือ จะมีนักร้อง(หมอลำ) มาร้องเพลงลูกทุ่งหรือบางคณะหมอลำได้นำเพลงสตริง ที่กำลังฮิตในขณะนั้น มีหางเครื่องเต้นประกอบ นำเอาเครื่อง ดนตรีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น กีตาร์ คีย์บอร์ด แซ็กโซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด โดยนำมาผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรีเดิมได้แก่ พิณ แคน ทำให้ได้รสชาติของดนตรีที่แปลกออกไป
ยุคนี้นับว่า หมอลำเฟื่องฟู มากที่สุดคณะหมอลำดัง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวัดขอนแก่น มหาสารคามอุบลราชธานี หมอลำหมู่สามารถแบ่งตามทำนองของบทกลอนลำได้อีกซึ่งแต่ละทำนองจะออกเสียงสูงต่ำ ไม่เหมือนกัน ได้แก่ ทำนองขอนแก่น ทำนองกาฬสินธิ์ มหาสารคาม ทำนองอุบล เป็นต้น
หมอลำผีฟ้า
         คนอีสานบางคนมีความเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากเชื้อโรค และบางคนเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของผี ความเจ็บป่วยที่เกิดจากเชื้อโรค สามารถเยียวยาให้หายได้ด้วยการรักษาโดยการใช้ยา ส่วนความเจ็บปวดที่เกิดจากผีนั้น เชื่อว่าต้องได้รับการรักษาจากผีฟ้าหรืออำนาจอย่างอื่น อย่างไรก็ตามเมื่อถึงคราวชีวิตจะสิ้นสุดลง ก็ไม่สามารถมีใครเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้
         คนป่วยที่ได้รับการรักษาจากวิธีการสมัยใหม่หรือจากยาไม่ได้ผลแล้วคนใช้หรือญาติพี่น้องของคนไข้ก็จนปัญญาจำต้องหันหน้าพึ่งทางอื่น และพึ่งทางอันนั้นก็คือ หมอลำผีฟ้า ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่มีความเชื่อในหมอลำผีฟ้าดังกล่าว แต่เพื่อชีวิตอย่างน้อยก็ต้องลองเสี่ยงดู
         หมอลำผีฟ้าอาจแปลความได้ว่า คณะหมอลำที่ทำการติดต่อสื่อสารกับผีฟ้า บางท้องที่เรียกหมอลำผีฟ้าว่า หมอลำไทเทิง ซึ่งหมายถึง หมอลำที่ติดต่อกับผีที่อยู่เบื้องบน (ไท หมายถึง กลุ่มคนหรือวิญญาณ เทิง หมายถึง เหนือหรือข้างบน) ในบางท้องที่เรียกหมอลำผีฟ้าว่า หมอลำผีแถน ซึ่งหมายถึง คณะหมอลำที่จะติดต่อกับผีแถนผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองฟ้า ถึงแม้ว่าหมอลำผีฟ้าจะเป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อ และรายละเอียดปลีกย่อยของการลำจะแตกต่างกันไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่นก็ตามแต่มีจุดประสงค์อันเดียวกัน

กลอนลำ

******************************
โอ่ย......ฟ้าเอ้ยฟ้าฮ้องฟ้าฮ้องค่อยเสียงโยนๆดังไกล
เป็นหยังเด้จั่งบ่ไปฮ้องใกล้หัวคันไดพอให้น้องได้นอนฮ่ำ
เสียงฟ้าฮ้องตึ้มตั้มสาวหมอลำคิดฮอดซู้ได้หลงโอ้.
.โอ่บ่เซา.....โอ่บ่เซา............โอ้ย....หล่ะน่า.................
เอออันนี่ต่อจากนี่สิได้ลำต่อกลอนสอง..สองผัวเมียทำนา
ซ่อยกันกะจนแล่วพอจากเสร็จดำแล้ว ตาเว็นค่ายค่ำ
พ่อบักหำขึ้นเถาะเจ้าหลกกล้าว่าแหน่เด้อ
พ่อว่าเอ้อ เมือก่อนสาตี๊ข้อยสิหลกคนเดียวแม่อีนางเมือบ้าน
พอจาแล้วเตรียมเอาถ้วยบ่วงหาบกะต่าต่องต้อนทั้งอุ้มว่าลูกนำ
เสียงฟ้าฮ่องตึ้มตั้มฟ่าวหย่างมาเฮือนเสียงฝนมามืดมัวเมาฟ้า
นำคันนาคืนเมือบ้านเขียดจินาฮ่องอ้อบแอ้บเหลียวเบิ่งน้ำ
ว่อบแว่บเป็นคลื่นจั่งทะเล.......มองมาบ้านเห็นโนนตาลมืดจุ่มคุ่ม
เห็นแต่ก่อไผบ้านล่ายซ่ายใบหุ่มล่ะห่อนำ
ฟ่าวหย่างจ้ำเข้าป่าส่อนลอนเสียงวอนๆเรไรส่งเสียงแมงง่วง
เห็นเป็นพวงหันหน้าหางนกยูงเหลืองอุ่ยฮุย
เสียงคนคุยสิเข้าบ้านเย็นแล้วสิต่าวเมือ
อุ้มลูกเต้าจูงหมู่งัวควย(ควาย)ฝนตกฮำเร่งไวๆเข้า
ไวๆจ้าวเสียงฮือเซือกฟาดควยบักเลพองตู้เด็กน้อยว่าขี่หลัง
เสียงมะลึ่งตึ้งตั้งฝนไล่มาทันฝนตกลงเปียกปอนเต็มเปื้อน
พอเถิงเฮือนมือน้าวหัวคันไดงับแงบคันแม่นวางต่าไว้..
สิเตรียมซิ่น...แหม่นเปลี่นแพร.....แหม่นเปลี่ยนแพร....
อันนี่ผูกควยแหม่ลูกหล่าอย่าสุไห่มันหลุด
ผักปะตูตีไลใสกลอนให้มันแน่น แม่สิดังไฟถ่า
เอาปลามาต้มป่น คั่นพ่อใหญ่ผู้อยู่บ้านอะฮือพร้อมพ่องถาม
น้ำบ่ถ่วมบ่อีหล้าไฮ่ใหญ่กกสะแบงดินบ่แข็งบ่อีนางไฮ่ใหญ่แคมโพนนั่น
เสียงถามกันเต็มบ้านกลับจากนาพุ่มพู เถิงยามนอนพากันขดขี่คู่นอนแล้วกะบ่ตีง
อันจั่งซี่เผิ่นจั่งว่าซาวนา เถิงเวลาสมควรสิต่าวลาเด้อค่า
หวีสิลาเด้อค่าสิขอลาไปก่อนพวกพ่อเฒ่าแม่ลูกอ่อน
หลานสิขอจากแล้วคุณป้ากะพ่องอาจักหน่อยนี่สิได้หย่างคอมมอม
ไปคอมมอมดังกะปอมงอยไม้หลานสิไลเมือบ้าน
หนองไหลคำมืดจุ่มคุมเห็นแต่กอไผ่หุ้มสิเมือบ้าน
แหม่นก่อนเด้อ..สิลาแล้ว  คูซุคน.....คูซุคน.........
********
กลอนลำ - ชีวิตชาวนา ๒
คุณแม่ฉวีวรรณ  ดำเนิน

ลักษณะของกลอนลำ

        กลอนลำเป็นร้อยกรองที่มีทั้งที่เป็นกลอนร่าย กลอนกาพย์ (หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากลอนตัด) และกลอนเญิ้น กลอนลำทางสั้นอาจเป็นกลอนตัดหรือกลอนเญิ้นก็ได้ กลอนลำทางยาว กลอนเต้ยธรรมดา,กลอนลำเพลิน และกลอนเต้ยหัวโนนตาลเป็นกลอนเญิ้น ส่วนกลอนเต้ยโขงและกลอนเต้ยพม่ามีลักษณะคล้ายเพลงไทยสากลโดยใช้คำภาษาไทยกลางผสมภาษาถิ่นอีสาน
       ทำนองลำที่เป็นทำนองหลักพอจะแบ่งได้ออกเป็น ทำนองคือ ทำนองลำทางสั้น ทำนองลำทางยาว ทำนองลำเพลิน และทำนองลำเต้ย
       "ลำทางสั้น" เป็นทำนองลำแบบเนื้อเต็ม ไม่มีเอื้อน (ยกเว้นตอนขึ้นต้น "โอ้ละนอ") ความสั้น-ยาว ของพยางค์ต่างๆจะสม่ำเสมอกันโดนตลอดเป็นทำนองที่แสดงออกถึงอารมณ์อันเป็นสุข เป็นทำนองลำของหมอลำพื้นตอนดำเนินเรื่อง เพื่อให้ได้ความรวดเร็ว และเป็นทำนองหลักของหมอลำกลอน
       "ลำทางยาว"เป็นทำนองลำที่ใช้เอื้อนยาวสะอึกสะอื้นแสดงความโศกเศร้าเสียใจมีจังหวะลีลาช้า ใช้สำหรับลำผีฟ้า ลำพื้นแสดงอารมณ์โศกมีจังหวะลีลาช้า ใช้สำหรับลำผีฟ้า ลำพื้นตอนโศก และลำกลอนตอนลำลา
       "ลำเต้ย" เป็นทำนองเพลงรักสั้นๆ ประเภทเนื้อเต็มไม่มีเอื้อน มีอยู่ ทำนอง คือ เต้ยโขง เต้ยพม่า เต้ยธรรมดาและเต้ยหัวโนนตาล
สำเนียงลำ สำเนียงลำของกลุ่มลำแคนพอจะแบ่งสำเนียงหลักได้ สำเนียงคือ สำเนียงขอนแก่นและสำเนียงอุบลฯ ความแตกต่างระหว่างสำเนียงขอนแก่นกับสำเนียงอุบลฯจะสังเกตได้จากทำนองลำทางสั้น ซึ่งจะพอมีหลักสังเกตได้ดังนี้ 1. สำเนียงอุบลฯ จะใช้กลอนล้วน ไม่มีแทรกด้วยคำพูด ส่วนสำเนียงขอนแก่นนิยมพูดแทรกหรือเติมเข้าไปในกลอนลำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เป็นหัวต่อระหว่างบทกลอนที่ใช้ถามหรือตอบ 2. สำเนียงอุบลฯ ที่มีจังหวะชัดเจน หนักแน่น มั่นคงและสม่ำเสมอ สำเนียงขอนแก่นนั้นยากแก่การแบ่งวรรคแบ่งตอน ใกล้ไปทางสำเนียงพูด 3. สำเนียงขอนแก่น หมอลำบางคนอาจจะมีการจังหวะชัดเจน แต่สำเนียงหรือกระแสเสียงทางภาษาก็ยังบ่งบอกในตัว เช่นเดียวกับสำเนียงพูด 4. ในตอนเดินดง หมอลำสำเนียงอุบลจะยังคงรักษาทำนองเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่หมอลำสำเนียงขอนแก่นจะบิดผันท่วงทำนองเป็นแบบลำทางยาวกรายๆ

 สำเนียงลำ

       สำเนียงลำของกลุ่มลำแคนพอจะแบ่งสำเนียงหลักได้ สำเนียงคือ สำเนียงขอนแก่นและสำเนียงอุบลฯ ความแตกต่างระหว่างสำเนียงขอนแก่นกับสำเนียงอุบลฯจะสังเกตได้จากทำนองลำทางสั้น ซึ่งจะพอมีหลักสังเกตได้ดังนี้
       1.สำเนียงอุบลฯ จะใช้กลอนล้วน ไม่มีแทรกด้วยคำพูด ส่วนสำเนียงขอนแก่นนิยมพูดแทรกหรือเติมเข้าไปในกลอนลำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เป็นหัวต่อระหว่างบทกลอนที่ใช้ถามหรือตอบ
       2.สำเนียงอุบลฯ ที่มีจังหวะชัดเจน หนักแน่น มั่นคงและสม่ำเสมอ สำเนียงขอนแก่นนั้นยากแก่การแบ่งวรรคแบ่งตอน ใกล้ไปทางสำเนียงพูด
       3.สำเนียงขอนแก่น หมอลำบางคนอาจจะมีการจังหวะชัดเจน แต่สำเนียงหรือกระแสเสียงทางภาษาก็ยังบ่งบอกในตัว เช่นเดียวกับสำเนียงพูด
       4.ในตอนเดินดง หมอลำสำเนียงอุบลจะยังคงรักษาทำนองเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่หมอลำสำเนียงขอนแก่นจะบิดผันท่วงทำนองเป็นแบบลำทางยาวกรายๆ
















1 ความคิดเห็น:

  1. The Gaming Room at Borgata Hotel Casino and Spa - JTM
    The Gaming Room 순천 출장마사지 at Borgata Hotel Casino and Spa. Borgata Hotel Casino 김천 출장샵 and Spa. Atlantic City, NJ. The 안동 출장샵 Borgata Hotel Casino 거제 출장샵 and 고양 출장마사지 Spa

    ตอบลบ